ทำความรู้จักโอมากาเสะ และ 10 ร้านโอมากาเสะสุดพรีเมียม

30.09.2025 (Updated: 30.09.2025)
ทำความรู้จักโอมากาเสะ และ 10 ร้านโอมากาเสะสุดพรีเมียม

ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า โอมากาเสะ (Omakase) กันมาบ้างใช่ไหมคะ บทความนี้จะพาทุกคนไปสำรวจความลึกซึ้งของโลกโอมากาเสะ ตั้งแต่ความหมายของคำว่าโอมากาเสะ ปัจจัยที่กำหนดคุณภาพและราคา ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแนะนำ 10 ร้านโอมากาเสะยอดนิยมในไทย ที่ไม่ควรพลาด โอมากาเสะคืออะไร และมีร้านโอมากาเสะไหนน่าไปบ้าง ไปอ่านกัน

โอมากาเสะคืออะไร

โอมากาเสะ (Omakase) มาจากภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า แล้วแต่เลย ตามแต่คุณตัดสินใจ หรือ ไว้ใจให้คุณจัดการ ดังนั้น โอมากาเสะในบริบทของร้านอาหารจึงหมายถึง แล้วแต่เชฟ หรือการให้เชฟเลือกเมนูหรือวัตถุดิบให้นั่นเอง เป็นการบอกคอนเซ็ปต์ของร้านไว้ชัดเจนเลยว่า มื้อนี้คุณจะไม่ได้เลือกเมนูเอง แต่เชฟจะเป็นคนจัดแจงทุกสิ่งให้ นั่นหมายความว่าเมนูในแต่ละวันอาจจะไม่เหมือนกันเป๊ะๆ เพราะเชฟจะเลือกวัตถุดิบที่สดที่สุดในวันนั้นมาทำให้เรากินตามความคิดสร้างสรรค์ของเชฟเอง

ถ้าถามว่าโอมากาเสะต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปยังไง คำตอบคือมันต่างกันมาก ไม่ใช่แค่เรื่องราคาแพงกว่า แต่คือประสบการณ์การทานอาหารที่ยกระดับไปอีกขั้นเลยทีเดียว หัวใจสำคัญของโอมากาเสะคือการสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้า ทั้งเรื่องวัตถุดิบพรีเมียมจากแหล่งที่ดีที่สุดทั่วโลก รสชาติที่หลากหลาย การจัดจานที่สวยงาม และที่สำคัญคือการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเชฟอย่างเป็นกันเอง เหมือนเป็นการเสพศิลปะและเรื่องราวไปพร้อมๆ กับการทานอาหาร

โอมากาเสะแต่ละร้านต่างกันอย่างไร

พอพูดถึงโอมากาเสะ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมบางร้านราคาหลักพันกลางๆ แต่บางร้านพุ่งไปหลักหมื่นได้สบายๆ จริงๆ แล้วมี 3 ปัจจัยหลักๆ ที่เป็นตัวกำหนดทั้งราคาและคุณภาพของโอมากาเสะแต่ละคอร์ส

คุณภาพและแหล่งที่มาของวัตถุดิบ

เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดราคาเลยก็ว่าได้ ร้านโอมากาเสะระดับท็อปจะลงทุนไปกับการคัดสรรปลาและอาหารทะเลจากแหล่งที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะจากตลาดปลาในญี่ปุ่น โดยจะเน้นปลาตามฤดูกาลที่จับได้ในช่วงที่ปลาอร่อยที่สุด และอาจจะมีปลาหายาก หรืออูนิคุณภาพสูง ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้มีราคาต้นทุนที่สูงมาก

ข้าวซูชิที่ใช้ก็ต้องเป็นข้าวญี่ปุ่นพันธุ์ดีที่หุงด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชูสูตรเฉพาะของเชฟ แต่ละเม็ดต้องเรียงสวย ไม่แฉะ ไม่แข็ง สาหร่ายก็ต้องเป็นสาหร่ายคุณภาพดี หอม กรอบ วาซาบิก็อาจจะเป็นวาซาบิสดที่ฝนใหม่ๆ รวมไปถึงเครื่องปรุงต่างๆ ที่คัดสรรมาอย่างดี

ฝีมือและประสบการณ์ของเชฟ

ฝีมือของเชฟเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โอมากาเสะแต่ละที่แตกต่างกัน เชฟที่มีประสบการณ์สูงจะรู้เทคนิคการแล่ปลาแต่ละชนิดให้ได้รสสัมผัสที่ดีที่สุด การปั้นข้าวกับปลาให้พอดีคำ ไม่แน่นหรือหลวมไป อุณหภูมิของข้าวที่พอเหมาะกับปลาแต่ละชนิด และการปรุงรสด้วยซอสหรือเครื่องเทศต่างๆ ที่ช่วยชูรสชาติของวัตถุดิบให้อร่อยยิ่งขึ้น เชฟแต่ละคนยังมีสไตล์เป็นของตัวเอง บางคนอาจจะเน้นรสชาติต้นตำรับแบบคลาสสิก แต่บางคนก็อาจจะมีการฟิวชั่น หรือการนำเสนอที่แปลกใหม่ สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับลูกค้าได้ตลอดคอร์ส นอกจากนี้ การเล่าเรื่องราวหรือการสื่อสารกับลูกค้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความประทับใจและทำให้มื้ออาหารพิเศษยิ่งขึ้น

บรรยากาศและการบริการ

บรรยากาศและการบริการก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โอมากาเสะแตกต่างจากการทานอาหารแบบอื่นๆ การตกแต่งร้านที่สวยงาม หรูหรา มีความเป็นส่วนตัว การจัดแสงไฟ เคาน์เตอร์ไม้ที่เลือกมาอย่างดี หรือวิวสวยๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การทานอาหารให้พิเศษยิ่งขึ้น รวมไปถึงพนักงานที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดตั้งแต่การต้อนรับ การดูแลระหว่างมื้อ การเติมน้ำชา การเสิร์ฟเครื่องดื่ม ไปจนถึงการอำลาลูกค้า 

ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนช่วยให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและอยากกลับมาใช้บริการอีกครั้ง ร้านโอมากาเสะส่วนใหญ่จะมีที่นั่งจำกัด มักจะไม่เกิน 10-12 ที่นั่ง เพื่อให้เชฟสามารถดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึง และแต่ละคอร์สก็ใช้เวลาพอสมควร นั่นหมายถึงการบริการที่เอาใจใส่และพิถีพิถันกว่าร้านอาหารทั่วไป

10 ร้านโอมากาเสะยอดนิยมในไทย

1. Kappo Tomo

Kappo Tomo เป็นอีกหนึ่งตัวท็อปในวงการโอมากาเสะเลยก็ว่าได้ ร้านโอมากาเสะสไตล์คัปโปะที่ไม่ได้เน้นแค่ซูชิ แต่เชฟจะพาไปสัมผัสกับอาหารญี่ปุ่นหลากหลายรูปแบบ ทั้งเมนูต้ม ผัด ทอด ย่าง หรือแม้แต่เทคนิคการนึ่ง ที่เชฟจะรังสรรค์เมนูตรงหน้าด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาลที่คัดมาอย่างดีเยี่ยม เชฟจะใช้ทักษะและเทคนิคที่หลากหลายมากๆ ในการปรุงอาหาร ทำให้แต่ละคอร์สเต็มไปด้วยความแปลกใหม่และความประทับใจที่ไม่ซ้ำใคร นอกจากนี้ยังได้พูดคุยเรื่ออาหารไปพร้อมๆ กัน ถือเป็นเสน่ห์ของการทานอาหารสไตล์คัปโปะ ที่เน้นการโต้ตอบกับเชฟโดยตรง บรรยากาศร้านก็อบอุ่น เป็นกันเอง แต่ก็ยังคงความพิเศษและหรูหราไว้อย่างลงตัว

Kappo Tomo

เวลาทำการ

ทุกวัน 12:00–22:00 น.

ที่อยู่

1F, Rain Hill 777 ซอย สุขุมวิท 47 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

2. KUMA NO YAKITORI

ร้านยากิโทริระดับไฮเอนด์ที่มาจากญี่ปุ่น เดิมทีร้านที่ญี่ปุ่นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น แต่สาขาในไทยเปิดให้ทุกคนจองได้ ที่นี่เชฟจะเสิร์ฟเมนูยากิโทริแบบโอมากาเสะ ที่ใช้ไก่เป็นวัตถุดิบหลักทุกอย่าง ฟังดูธรรมดาแต่รับรองว่าไม่ธรรมดาเลย เพราะที่นี่เลือกใช้ไก่สายพันธุ์พิเศษและเทคนิคการย่างบนเตาถ่านที่ประณีตสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อนุ่ม หนังกรอบ เครื่องในฉ่ำๆ หรือแม้แต่เมนูซาชิมิไก่ก็มีให้ลอง ใครที่ชอบอาหารญี่ปุ่นแบบมีเอกลักษณ์ เน้นความใส่ใจในรายละเอียด และอยากเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในโลกของโอมากาเสะต้องไม่พลาดร้านนี้เด็ดขาด

KUMA NO YAKITORI

เวลาทำการ

จ.-ส. 17:00–22:30 น., ปิดทุกวันอาทิตย์

ที่อยู่

Rain Hill, 1F, 777 ซอย สุขุมวิท 47 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

3. Sushi Kappou Ishimoto

อีกหนึ่งร้านโอมากาเสะที่ไม่ควรพลาด ร้าน Sushi Kappou Ishimoto ที่ผสมผสานความเป็นโอมากาเสะซูชิสไตล์เอโดมาเอะเข้ากับความสร้างสรรค์ของคัปโปะได้อย่างลงตัว ที่นี่ จะได้ลิ้มรสซูชิที่ปั้นอย่างประณีตจากวัตถุดิบพรีเมียมบินตรงจากญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็จะได้เพลิดเพลินกับเมนูอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ ที่เชฟจะรังสรรค์ออกมาเป็นคอร์สได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เชฟอิชิโมโตะเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบ ความลงตัวของรสชาติ และการนำเสนอที่สวยงาม แต่ละคำ แต่ละจานที่เสิร์ฟออกมาคือความตั้งใจที่อยากให้ผู้ทานได้สัมผัสถึงรสชาติแท้ๆ ของวัตถุดิบและฝีมือของเชฟ บรรยากาศร้านก็เรียบหรู คลาสสิก ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวและสบายๆ เหมาะกับการมาทานอาหารในโอกาสพิเศษสุดๆ

Sushi Kappou Ishimoto

เวลาทำการ

ทุกวัน 17:00–22:00 น.

ที่อยู่

Room 301, Hotel Nikko Bangkok 3rd Fl, 27 ถ. ทองหล่อ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

4. Sushi Sekiji

Sushi Sekiji ร้านโอมากาเสะที่จะได้สัมผัสประสบการณ์แบบญี่ปุ่นแท้ๆ ผสมผสานกลิ่นอายของคิวชู ในราคาที่จับต้องได้ใจกลางกรุงเทพฯ ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่านสีลม-ธนิยะ เป็นที่รู้กันดีว่าเชฟญี่ปุ่นที่นี่จัดเต็มทั้งความสดและคุณภาพแบบไม่กั๊ก จุดขายเลยคือคอร์สโอมากาเสะที่มีให้เลือกถึง 3 แบบ โดยเริ่มต้นในราคาที่เข้าถึงง่ายมากๆ ประมาณ 1,500 บาท ทำให้ได้ลองลิ้มรสชาติซูชิพรีเมียมจากเชฟญี่ปุ่นโดยที่กระเป๋าตังยังรับไหว เรื่องคุณภาพวัตถุดิบก็ไม่เป็นสองรองใคร เพราะเชฟเน้นใช้ปลาสดๆ และวัตถุดิบชั้นดีที่คัดสรรมาตามฤดูกาล ในแต่ละคำที่ได้ทานจะรู้สึกได้ถึงความพิถีพิถันของเชฟเลยล่ะ

Sushi Sekiji

เวลาทำการ

ทุกวัน 17:00–23:00 น.

ที่อยู่

62/5-6, ถ.สีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

5. Kappo Hisa

ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์คัปโปะ ที่เชฟจะโชว์เทคนิคการทำอาหารที่หลากหลาย ทั้งการหั่นและการปรุงต่อหน้าลูกค้าในบรรยากาศที่ใกล้ชิด และทุกเมนูถูกสร้างสรรค์จากวัตถุดิบตามฤดูกาลที่ส่งตรงมาจากญี่ปุ่น ที่นั่งเป็นแบบเคาน์เตอร์บาร์ ทำให้เห็นทุกขั้นตอนความพิถีพิถันของเชฟอย่างใกล้ชิด และได้รับฟังคำอธิบายเมนูต่างๆ เพิ่มความพิเศษให้กับมื้ออาหารสุดๆ ร้านมักจะรับลูกค้าในจำนวนจำกัดต่อรอบ ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวและบริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดมากๆ เป็นอีกหนึ่งร้านที่เหมาะสำหรับมาทานในโอกาสพิเศษ

Kappo Hisa

เวลาทำการ

ทุกวัน 12:00–14:00 น. และ 17:00–21:00 น.

ที่อยู่

66/4 mile malle sukhmvit20 g floor room103, ซอย ไผ่สิงห์โต sukhmvit20, เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

6. Sushi Masato

Sushi Masato ร้านโอมากาเสะระดับตำนานที่จองยากที่สุดและยืนหนึ่งในกรุงเทพฯ ร้านนี้เป็นผลงานของเชฟ Masato Shimizu เชฟชาวญี่ปุ่นที่สั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานทั้งในโตเกียวและนิวยอร์ก ร้านติดอันดับใน Asia’s 50 Best Restaurants ซึ่งการันตีความพรีเมียมและความยอดเยี่ยมทั้งในด้านรสชาติและเทคนิค โดยเชฟจะนำเทคนิคดั้งเดิมแบบเอโดะมาเอะ มาผสมผสานกับสไตล์ที่เปิดกว้างและเป็นกันเอง ทำให้การทานโอมากาเสะที่นี่ไม่น่าเบื่อ วัตถุดิบทุกชนิดถูกคัดสรรมาอย่างดีที่สุดตามฤดูกาลจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมนูซิกเนเจอร์อย่างอังคิโมะ (Ankimo) หรือตับปลาตุ๋น และปลาไหลทะเล เป็นเมนูที่ห้ามพลาดเลย

Sushi Masato

เวลาทำการ

ทุกวัน 12:00–14:00 น. และ 17:00–22:00 น.

ที่อยู่

3 22 ซอย สวัสดี แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

7. Mizuki Omakase

ถ้าอยากลองโอมากาเสะที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครในกรุงเทพฯ แนะนำร้าน Mizuki Omakase ที่สุขุมวิท 31 ร้านนี้แตกต่างจากร้านอื่นๆ ด้วยบรรยากาศที่เหมือนกำลังท่องอวกาศ หรือนั่งทานอาหารอยู่ใต้ดวงจันทร์ มีการตกแต่งร้านที่ล้ำสมัย แถมยังมีบาร์สำหรับจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ให้เข้ากับธีมอวกาศด้วย ส่วนวัตถุดิบและรสชาติก็ยังคงพรีเมียม ทางร้านเสิร์ฟโอมากาเสะสไตล์ฟิวชั่น ที่ผสมผสานวัตถุดิบตามฤดูกาลคุณภาพดีจากญี่ปุ่น เข้ากับเทคนิคการปรุงและการนำเสนอที่สร้างสรรค์ ทำให้แต่ละเมนูดูตื่นตาตื่นใจ แถมรสชาติก็ยังอร่อย เมนูซิกเนเจอร์ เช่น Nodoguro Sushi เนื้อปลากระพงท็อปด้วยคาเวียร์ หรือ Bafun Uni อูนิที่หวานละมุนลิ้น

Mizuki Omakase

เวลาทำการ

อ.-อา. 12:00–0:00 น., ปิดทุกวันจันทร์

ที่อยู่

15 1 ชั้น4 สุขุมวิท 31 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

8. Ryuzu Omakase

ร้าน Ryuzu Omakase เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกร้านโอมากาเสะที่น่าสนใจมากๆ ร้านให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูง โดยเฉพาะปลาและอาหารทะเลตามฤดูกาลที่สดใหม่ ส่งตรงมาจากตลาดปลาในญี่ปุ่น เชฟมีความชำนาญในการปั้นซูชิและสร้างสรรค์เมนูในแต่ละคอร์สได้อย่างน่าประทับใจ เน้นความสมดุลของรสชาติ การปรุงที่พิถีพิถัน และการนำเสนอที่สวยงาม และยังคงรสชาติแบบต้นตำรับญี่ปุ่นเอาไว้ บรรยากาศร้านก็ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นโมเดิร์น ให้ความรู้สึกสบายๆ แต่ก็ยังคงความพิเศษและเป็นส่วนตัว

Ryuzu Omakase

เวลาทำการ

ทุกวัน 12:00–21:30 น.

ที่อยู่

2nd floor มาร์เช่ ทองหล่อ 148 ถ. ทองหล่อ klongton nue เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

9. Kozue Omakase Thonglor

โอมากาเสะราคาดีงามในย่านทองหล่อ ร้านนี้มีหลายสาขา แต่ที่ทองหล่อเป็นอีกสาขาที่ลูกค้าพูดถึงเยอะเรื่องความคุ้มค่าและความอร่อย ที่นี่มีคอร์สให้เลือกในราคาที่เริ่มต้นไม่สูงมาก เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการลองโอมากาเสะบ่อยๆ ร้านนำเสนอโอมากาเสะสไตล์ฟิวชั่นที่เน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ของเชฟไทย ทำให้แต่ละคำมีรสชาติที่ถูกปากคนไทย ทานง่าย และมีลูกเล่นหลากหลาย มีเมนูเด็ดๆ มากมาย ทั้ง Otoro Aburi เบิร์นไฟหอมๆ Bafun Uni หวานมัน หรือแม้แต่เมนูที่เพิ่มรสชาติด้วยทรัฟเฟิล และวัตถุดิบพรีเมียมอื่นๆ ทำให้แต่ละคำมีความพิเศษและไม่ซ้ำใคร

Kozue Omakase Thonglor

เวลาทำการ

ทุกวัน 12:00–22:00 น.

ที่อยู่

88 ฮอล สุขุมวิท 49 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

10. Yume Omakase Bangkok

ร้านโอมากาเสะที่พาร์คเลน (Park Lane) เอกมัย เป็นอีกหนึ่งร้านที่น่าสนใจและได้รับการพูดถึงอย่างมากในกลุ่มคนรักซูชิ ร้านนี้ต้องการนำเสนอโอมากาเสะที่มาจากความฝันของเชฟและเจ้าของร้าน ที่อยากให้คนไทยได้ทานซูชิคุณภาพเยี่ยม ร้านเน้นการเสิร์ฟซูชิสไตล์เอโดะมาเอะ ใช้เทคนิคการเตรียมปลาแบบดั้งเดิม ไม่เน้นจานฟิวชั่นหรือความหวือหวามากนัก แต่เน้นที่คุณภาพของวัตถุดิบ ความสมดุลระหว่างข้าวปั้นกับหน้าซูชิ และรสชาติที่ถึงใจ ที่นี่มีปลาและวัตถุดิบพรีเมียมตามฤดูกาลที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ทำให้ได้ทานปลาแปลกๆ หรือวัตถุดิบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อย เชฟและเจ้าของร้านก็มักจะมีบทสนทนาและเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับวัตถุดิบมาเล่าให้ฟัง ทำให้มื้ออาหารเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

Yume Omakase Bangkok

เวลาทำการ

อ.-อา. 17:30–22:00 น., ปิดทุกวันจันทร์

ที่อยู่

18 Parklane Ekkamai Sukhumvit 61 Room A 106, กรุงเทพมหานคร 10110